Happy Vampires โหลดเพลงแกรมมี่แบบไม่ยั้ง แค่เดือนละ 20 บาท Click ที่นี่เลย
"เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่เราลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้มต่างหาก"
ผู้บริหารมืออาชีพ ยังเป็นคำที่ค่อนข้างใหม่สำหรับวงการศึกษาเพิ่มจะเริ่มเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นก็เมื่อมีการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งในหมวด 7 ได้กำหนดไว้ว่า ทั้งผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายกำหนด
แม้จะยังไม่มีใครให้คำจำกัดความไว้ที่ชัดเจนว่าผู้บริหารมืออาชีพทางการศึกษามีลักษณะอย่างไร แต่ในที่นี้หมายถึงผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและจัดการศึกษาทั้งในระดับสถานศึกษาและในระดับเขตพื้นที่การศึกษา
โดยภาพรวม คำว่า “มืออาชีพ” หรือ “Professional” มีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. ต้องเป็นคนที่ยังชีพด้วยงานนั้น คือ ต้องมีรายได้หลักจากการงานในวิชาชีพที่ทำ และ
ทุ่มเทเวลาให้กับงานในอาชีพนั้นจริง ๆ
2. ต้องมีการศึกษาและอบรม เพื่อให้มีความรู้ มีศาสตร์ มีหลักการ มีทฤษฎี มีการวิจัยค้น
จนรู้ชัดและรู้จริง และมีการพัฒนาทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
3. ต้องนำศาสตร์ไปใช้ในการบริหาร มีการฝึกฝนอย่างจริงจังในอาชีพนั้น ๆ จริง ๆ จน
เกิดความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ที่มากพอ
4. ต้องมีการรับรองมาตรฐานแห่งวิชาชีพ โดยมีการออกใบรับรองหรือใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล ทนายความ นักบัญชี สถาปนิก วิศวกร เป็นต้น ซึ่งในการตัดสินใจ การวิเคราะห์ และการดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพดังกล่าว จะต้องใช้ผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเท่านั้น
5. ต้องมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ สำหรับยึดถือและปฏิบัติโดยเคร่งครัด
6. มีองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพให้การรับรอง โดยการออกใบประกอบวิชาชีพ เพื่อ
ควบคุมกำกับดูแลคุณภาพ มาตรฐาน และจรรยาบรรณ รวมทั้งมีมาตรการลงโทษเมื่อมีการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
เขียนโดย sak1038 (นายเกรียงศักดิ์ ปรีชา รหัส 5246701038) ที่ 04:01 0 ความคิดเห็น
1. สถิติ หมายถึง ตัวข้อมูลหรือจำนวนต่างๆที่ได้มาจากข้อมูล และหมายถึง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการรวบรวมจัดระบบ สรุปนำเสนอ และวิเคราะห์ข้อมูลรวมถึงการลงสรุปอย่างเที่ยงตรง และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
2. ค่าเฉลี่ย คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดหารด้วยจำนวนคะแนน
มัธยฐาน คือ คะแนนตรงกลางที่แบ่งคะแนนอื่นๆออกเป็น 2 ฝ่ายเท่าๆกัน
ฐานนิยม คือ ค่าที่ปรากฏบ่อยที่สุด หรือคะแนนที่มีความถี่มากที่สุด
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือรากที่สองของค่าเฉลี่ยของกำลังสองของค่าเบี่ยงเบน
ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม เป็นมาตราวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นค่าสถิติที่ใช้สำหรับเป็นตัวแทนของข้อมูลในกลุ่มหรือในเซ็ตนั้น
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นมาตราวัดการกระจาย เป็นสถิติที่ช่วยให้ทราบถึงระดับของการกระจายหรือการแปรผันของคะแนนในกลุ่มนั้น
3. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง แตกต่างกัน คือ
ประชากร หมายถึง กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ หรือค่าที่วัดมา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มนั้น
กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง กลุ่มสมาชิกส่วนหนึ่งของประชากร ที่ผู้วิจัยเลือกมาเป็นตัวแทน
4. มาตรานามบัญญัติ เป็นระดับการวัดที่ต่ำสุด เป็นการกำหนดตัวเลขแทนชื่อคน แทน คุณลักษณะต่างๆ แทนเหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆ เช่น เบอร์นักกีฬา เลขทะเบียนรถ การกำหนดให้ 0 แทนเพศชาย 1 แทนเพศหญิง
มาตราเรียงอันดับ เป็นการกำหนดตัวเลข หรือสัญลักษณ์ เพื่อชี้ถึงอันดับ
มาตราอันตรภาค มีศูนย์สมมุติ และมีหน่วยของการวัดที่เท่ากัน ได้แก่ การวัดอุณหภูมิ คะแนนการสอบ
มาตราอัตราส่วน มีศูนย์แท้ มีหน่วยของการวัดเท่ากัน เช่น การวัดความยาว ชั่งน้ำหนัก
5. ตัวแปร คือ คุณลักษณะหรือสภาวการณ์ต่างๆซึ่งแบ่งออกเป็นพวก หรือเป็นระดับ หรือมีค่าได้หลายค่า
ตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่ไม่ขึ้นกับตัวแปรตาม จะเป็นสาเหตุมีผลหรืออิทธิพลต่อตัวแปรตาม
ตัวแปรตาม เป็นตัวแปรที่สันนิษฐานว่าจะขึ้นอยู่กับ หรือแปรผันไปตามตัวแปรต้น
6. สมมุติฐาน Hypothesis คือ คำตอบสรุปของผลการวิจัยที่คาดการณ์หรือพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า เป็นข้อสันนิษฐานที่อาจเป็นความจริงมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่าเป็นไปได้จริง แต่อาจเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้
สมมุติฐานทางการวิจัยมี 2 ประเภท คือ สมมุติฐานหลัก และสมมุติฐานเลือก หรือเรียกว่าสมมุติฐานตรงข้าม
7. t-test กับ F- test ต่างกัน คือ
t-test ใช้ทดสอบนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของสองกลุ่ม
F- test ใช้ทดสอบนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างความแปรปรวนของสองกลุ่ม
เขียนโดย sak1038 (นายเกรียงศักดิ์ ปรีชา รหัส 5246701038) ที่ 04:00 0 ความคิดเห็น
1.การใส่ปฏิทินในเวบบอร์ด - ค้นหาโค้ดปฏิทินจากเวบgoogleพิมพ์คำว่าcodeปฏิทิน - เลือกเวบที่เกี่ยวข้องเลือก รูปแบบปฏิทินที่ชอบแล้วcopycode - เปิดบล็อกของตนเองเข้าไปที่รูปแบบ จากนั้นคลิ๊ก ในส่วนองค์ประกอบของหน้า เพิ่ม Gadget คลิ๊กในส่วนของ html /จาวาสคริป นำโค๊ดที่ได้วางไว้ในส่วนของเนื้อหา แล้วกดบันทึก(save)เพื่อยืนยัน
2.การใส่นาฬิกา - ค้นหาโค้ดนาฬิกาจากเวบgoogleพิมพ์คำว่าcode นาฬิกา -เลือกเวบที่เกี่ยวข้องเลือกรูปแบบนาฬิกาที่ชอบแล้วcopycode - เปิดบล็อกของตนเองเข้าไปที่รูปแบบ จากนั้นคลิ๊ก ในส่วนองค์ประกอบของหน้า เพิ่ม Gadget คลิ๊กในส่วนของ html /จาวาสคริป นำโค๊ดที่ได้วางไว้ในส่วนของเนื้อหา แล้วกดบันทึก(save)เพื่อยืนยัน
3.การทำสไลด์ - เข้าwww.slide.com เพื่อสมัครสมาชิก- เข้าสู่ระบบ โดยการใส่ username และ password ที่ได้สมัครไปข้างต้น - เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วคลิ๊กสร้างการแสดงภาพสไลด์ จากนั้นไปที browse เพื่อเพิ่มรูปภาพที่ต้องการ ซึ่งภาพนี้อาจอยู่ในเครื่องคอมพวิเตอร์ของท่านหรือจากเวบที่ท่านทำการฝากรูปไว้ ทำการuploadรูป- ปรับตกแต่งให้สวยงามตามความต้องการโดยเลือกรูปแบบ หลากหลาย ขนาด เอ๊ฟเฟกต่างๆ ตามใจชอบ เมื่อเลือกได้ตามที่ต้องการ ให้บันทึก เพื่อรับรหัส code จากนั้น copy code ที่ได้ไปวางไว้ในส่วนของบทความใหม่ หรือใน Gadget ก็ได้. เสร็จแล้ว คลิ๊ก บันทึกเพื่อยืนยันเกร็ดเล็กๆน้อยๆ....หากท่านเข้าเวบwww.slide.comแล้วพบว่าเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเพิ่งตกใจ ให้เลื่อนเม้าส์ไปด้านล่างจะมีเมนูให้ท่านเปลี่ยนภาษาได้ .....
4.การปรับแต่งสีในblog - เปิด blog ของตัวเอง เข้าไปในส่วนของ รูปแบบ จากนั้น คลิ๊ก แบบอักษรและสี สามารถเลือกปรับแต่งสี ในส่วนต่างๆของหน้า blog เมื่อเลือกเสร็จให้คลิ๊ก บันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อยืนยันเกร็ดเล็กๆน้อยๆ หากท่านเปลี่ยน template ของบล็อก การปรับแต่งสีเป็นสิ่งสำคัญ5.การใส่เพลง -เข้าเวบhttp://happyvampires.gmember.com/home.php?1402 - เลือกเพลงที่ชื่นชอบ copy embed เพื่อนำ code ที่ได้ไปวางไว้ในบล็อกตนเอง- เข้าบล็อกตนเอง ไปวางในส่วนของบทความใหม่
เขียนโดย sak1038 (นายเกรียงศักดิ์ ปรีชา รหัส 5246701038) ที่ 03:56 0 ความคิดเห็น
Google
1. Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature. Google จะค้นหาแบบ harvest AND moon AND back... (พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)
2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB (พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้ มารวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris
3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of) และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำ พวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องหมาย + ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น (ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature final fantasy +x
4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้ Advanced Search หรือ การค้นหา แบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย
5. Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น คำว่า bass มี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนดรีเราจะตัดที่มีความหมายเกี่ยว กับดนตรีออกโดยพิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีก เช่น "front mission 3" -filetype:pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดงไฟล์ PDF
6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย "..." เช่น "Breath of fire IV"
7. Google สามารถแปลเวปภาษา Italian, French, Spanish, German, และ Portuguese เป็น ภาษาอังกฤษได้ (โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page" ด้านข้างชื่อเวป)
8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ ประเภทไฟล์ที่รองรับคือ
Adobe Portable Document Format (pdf) Microsoft PowerPoint (ppt)
Adobe PostScript (ps) Microsoft Word (doc)
Lotus 1-2-3 (wk1, wk2, wk3, wk4, wk5, wki, wks, wku) Microsoft Works (wks, wps, wdb)
Lotus WordPro (lwp) Microsoft Write (wri)
MacWrite (mw) Rich Text Format (rtf)
Microsoft Excel (xls) Text (ans, txt)
วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ไทย)
9. Google สามารถเก็บ Cached ของเวปที่จะเข้าชมไว้ได้ (โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเวปบางเวปที่อาจโดนลบไปแล้ว โดย ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)
10. Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้เรา เช่น ถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะ ช่วยให้หาข้อมูลได้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword
11. Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเวปนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com และคุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบอื่นๆ ได้
12. Google สามารถค้นหาเวปที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง site:ชื่อ URL เช่น ถ้าคุณต้องการหาเวปเกี่ยวกับการเข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu
13. ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชคดี) Google มีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling Lucky) โดยที่ Google จะนำเวปที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหา ส่งให้คุณเลย (link ไปเวปนั้นให้เสร็จ) เช่น คุณต้องการค้นหาเวปมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้พิมพ์ Stanford แล้วกด I'm Feeling Lucky หรือ ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย ใน Google ไทย
14. Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ ชื่อถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐ เช่น 165 University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ
15. Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะอเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
first name (or first initial), last name, city (state is optional) phone number, including area code
first name (or first initial), last name, state last name, city, state
first name (or first initial), last name, area code last name, zip code
first name (or first initial), last name, zip code
แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน
16. Google สามารถค้นหา Catalog สินค้าได้ (เข้าไปที่ http://catalogs.google.com )
17. นอกจากนี้มันยังสามารถคำนวณเลขได้ด้วยนะครับ ลองใส่โจทย์เลขลงไปในช่อง Search ดูสิ เช่น 52869-8956 หรือ 562475+8422 แล้วกด enter ดู จริงๆ มันยังแปลงค่า เช่น จากไมล์เป็นกิโลเมตร หรือจากเซนติเมตรเป็นนิ้วได้ แค่ใส่ลงไป เช่น ใส่ว่า 130 miles to kilometer ก็จะได้ผลออกมาเป็นกิโลเมตร เป็นต้น
Search Engineที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่
http://www.sanook.com/
http://www.google.co.th/
http://www.google.com
http://www.yahoo.com/
http://www.msn.com/
http://www.live.com
http://www.baidu.com
http://www.ask.com
http://th.wikipedia.org/wiki/Google#.E0.B8.AD.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.87
เขียนโดย sak1038 (นายเกรียงศักดิ์ ปรีชา รหัส 5246701038) ที่ 05:31 0 ความคิดเห็น
การจัดการความรู้ กระบวนการอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการประมวลข้อมูล สารสนเทศ ความคิด การกระทำ ตลอดจนประสบการณ์ของบุคคลเพื่อสร้างเป็นความรู้หรือนวัตกรรม และจัดเก็บในลักษณะของแหล่งข้อมูลที่ บุคคลสามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยช่องทางต่างๆ ที่องค์กรจัดเตรียมไว้ เพื่อนำความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดการแบ่งปันและถ่ายโอนความรู้ และในที่สุดความรู้ที่มีอยู่จะแพร่กระจายและไหลเวียนทั่วทั้งองค์กรอย่างสมดุล เป็นไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาองค์กร
สืบค้นจาก http://www.industry.go.th/km/Lists/KM/KM.aspx
ขั้นตอนการจัดการความรู้
1.การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม
2.การสื่อสาร
3.กระบวนการและเครื่องมือ
4.การฝึกอบรมและการเรียนรู้
5.การวัดผล
6.การยกย่องชมเชยและให้รางวัลhttp://www.fisheries.go.th/it/itdof/index.php?option=com_content&task=view&id=27&Itemid=1
แหล่งข้อมูล คือ สถานที่ที่สามารถ ค้นคว้า สืบค้น เรียนรู้ ข้อมูลต่างๆแต่ละประเภทตามที่เราต้องการและอยู่ในรูปลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป ตามที่แหล่งข้อมูลนั้นๆจะนำเสนออกมายิ่งในปัจจุบันจะมีรูปแบบในการนำเสนอ ที่หลากหลายมาก จนเราตามไม่ทันและมีข้อมูลมากมายมหาศาล ให้เราได้เรียนรู้ สืบค้น ค้นคว้า มาใช้ในการเรียนและงานต่างๆมากมาย
ตัวอย่างแหล่งข้อมูล ที่มีในปัจจุบัน
1. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
2. ซีดี วีซีดี ดีวีดี วีดีโอ ภาพยนต์
3. สถานที่ต่างๆ ห้องสมุด โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยว
4. เทคโนโลยีต่างๆ ทีวี วิทยุ ระบบอินเทอร์เน็ต ดาวเทียม
http://www.ketkwanchai.info/ebook2/f6.htm
ลักษณะหรือรูปแบบของเครือข่ายการเรียนรู้ไม่มีกฎเกณฑ์หรือหลักเกณฑ์ตายตัว ประชาชนต้องเรียนรู้จากกันและกัน จากความรู้ที่ได้จากที่อื่น แล้วขยายความรู้ให้ผู้อื่นทราบด้วย เป็นการช่วยให้เกิดการศึกษาที่หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของบุคคล
http://giftsykamon.blogspot.com/2007/09/blog-post_21.html
สารสนเทศ (Information) ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน (ไพโรจน์ คชชา, 2542)
http://tsl.tsu.ac.th/file.php/1/courseware/aa_2/lesson02/lesson2-1.htm
เขียนโดย sak1038 (นายเกรียงศักดิ์ ปรีชา รหัส 5246701038) ที่ 05:28 0 ความคิดเห็น